ผดุงเกียรติ ทวีศักดิ์พจน์

วันอาทิตย์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

เรื่อง  ทฤษฎี เกียร์ 4 มังกี้ ดี ลูฟี่

เรื่อง  ทฤษฎี เกียร์ 4 มังกี้ ดี ลูฟี่

ขอบคุณรูปจาก http://kortrex.deviantart.com

เกียร์ 4 

มาถึงเรื่องของพลังการโจมตีกันบ้าง ที่เราได้เห็นกันมาแล้ว
กับภาพที่ลูฟี่ใช้พลังหมัดอันรุนแรง ต่อยเข้าไปที่โดฟรามิงโก้ เต็มๆ
จนโดฟรามิงโก้ถึงกับกระเด็นออกไปเป็นกิโล จากยอดเขาบนสุด มายังบ้านเมือง
โดยภาพนั้น ถือได้ว่าเป็นภาพที่สร้างความตื่นตาตื่นใจกับคนอ่านมากมาย
จนมีหลายคนเริ่มที่จะเปลี่ยนความคิดหันมาทำใจชอบ เกียร์ 4 กันบ้างแล้ว
ซึ่งกระบวนท่าของลูฟี่ ยังไม่ค่อยมีการเปิดเผยมาก
แต่ก็ได้รับความสนใจจนมีคนมากมายพยายามคิดทฤษฎีความเป็นไปได้ต่อท่าของ
ลูฟี่ จนสามารถสรุปได้ดังนี้ครับ

1. หลังจากที่ลูฟี่ ผ่านการฝึกมา 2 ปี เราจะเห็นได้ว่า
เขาสามารถปั๊มเลือดที่ส่วนไหนก็ได้ ซึ่งต่างกับช่วงเกียร์ 2 แรกๆ
ที่ปั๊มได้เฉพาะที่ขา แถมตัวก็ยังไม่หดเล็กอีกด้วย

2. ลูฟี่สามารถใช้เกียร์ 2 ได้ง่ายและอิสระขึ้น แถมพลังโจมตีก็รุนแรงขึ้น
ขนาดล้มแปซิฟิสต้าได้ในหมัดเดียว

3 เมื่อมาถึงท่าของเกียร์ 4 เขาจึงได้ใช้วิธีเดียวกันกับที่ล้ม แปซิฟิสต้า
โดยอัพพลังที่มากขึ้นหลายเท่าจากเกียร์ 4 และรูปร่างแขนที่ใหญ่ขึ้น
บีบกำปั้นตัวเองเข้าไป พร้อมกับปั๊มเลือดสูบฉีดในบริเวณนั้น
ก่อนจะปล่อยมันออกมาเป็นพลังมหาศาลในทีเดียว (พร้อมกับพลังฮาคิ) ส่งที่ได้คือ
โดฟรามิงโก้ทนต่อพลังนี้ไม่ไหว และบาดเจ็บสาหัส แต่ก็ได้ขึ้นชื่อว่าชายที่อึดที่สุด
เท่าที่เคยเห็นมา

4. นอกจากเขาจะสามารถใช้ท่า หมัดปืนใหญ่อัดเข้ามิงโก้ให้กระเด็นได้แล้ว
เขายังสามารถยืดแขนออกไป และเบี่ยงทิศทางในอากาศ
คล้ายกับจรวจติดตามได้อีกด้วย และถ้าคุณลองสังเกตดูให้ดีๆ
ชื่อของท่าแต่ละท่าจะมีส่วนคล้ายกันกับชื่อของเพื่อนสัตว์ 4 ตัว
ในตอนหน้าแรกของสิ้นสุดปี 2 แต่ยังไม่เปิดเผยท่าอีก 2 ท่า
รวมถึงท่าไม้ตายขั้นสุดยอดอีกด้วย
นี่ก็เป็นบทสรุปคร่าวๆจากที่ได้ประมวลมา ทั้งเรื่อง พลัง รูปร่าง และความเป็นไปได้ 
ซึ่งถ้าหากว่า ซึ่งถ้าหากว่าเราเป็นอย่างนั้นจริงๆ
คงถูกไหม้ไปพร้อมกับอากาศเรียบร้อยแล้ว ยังไงแล้ว เรื่องราวของเกียร์ 4
ถ้าหากว่ามีความคืบหน้ายังไงต่อ เดี๋ยวเราจะมาอธิบายเจาะลึกกันให้ฟังอีกที
ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่ที่กาต่อสู้ของลูฟี่ด้วย ซึ่งกำลังเข้มข้น ถึงเลือดถึงเนื้อกันเลยทีเดียว
รวมถึงยังได้มีข่าวลือกันอีกด้วยนะว่า ลูฟี่ มีพลังลึกลับบางอย่างแฝงอยู่ในตัว
โดยที่ไม่มีใครรู้ (แม้แต่เจ้าตัวกับเพื่อนในกลุ่มเองก็ยังไม่รู้ด้วย)

ที่มา
http://www.platoonew.com/2015/05/4-2.html

1 ความคิดเห็น: